หน้าเว็บ

วันจันทร์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

กฏทองของสุนัข 10 ประการ


กฏทองของสุนัข 10 ประการ


เอามากฝากสำหรับคนรักสุนัขค่ะ คนรักสุนัขต้องอ่าน แล้วจะรักน้องหมามากขึ้นค่ะ


1. ชีวิตของฉันอย่างมากก็สิ้นสุดเพียงแค่ 10-15ปี เท่านั้น การต้องแยกจากเธอไม่ว่าด้วยเหตุผลใดๆ นับเป็นความปวดร้าวอย่างยิ่งของฉัน จึงโปรดคิดสักนิด ก่อนที่จะรับฉันเข้ามาในชีวิต

2. ให้เวลาฉันสักหน่อย เพื่อทำความเข้าใจให้ชัดเจน ว่าเธอต้องการอะไรจากฉัน

3. จงเชื่อมั่นในตัวฉัน เพราะเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง สำหรับความเป็นอยู่ของฉัน

4. อย่าโกรธฉันให้นานนัก และอย่าลงโทษฉันด้วยการกักขัง เธอมีทั้งหน้าที่การงาน ความบันเทิง มิตรสหาย แต่ฉันนั้นมีเพียงเธอ

5. พูดกับฉันบ้าง แม้ฉันจะไม่เข้าใจในคำพูด แต่ฉันก็เสียงเข้าใจเธอได้จากน้ำเสียง
 

6. พึงระลึกไว้เสมอว่า ไม่ว่าเธอจะปฏิบัติอย่างไรกับฉัน ฉันจะไม่มีวันลืมเลือน

7. โปรดอย่าทุบตีฉัน แม้ว่าฉันจะทุบตีเธอกลับไม่ได้ แต่ฉันก็สามารถกัดหรือข่วนตะกุยเธอได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ฉันไม่อยากทำเลย
8. ก่อนจะดุด่าฉันสำหรับท่าทีคล้ายไม่เชื่อฟัง ดื้อดึง เกียจคร้าน ขอจงได้ถามตัวเองก่อนว่า เกิดสิ่งผิดปกติกับตัวฉันหรือเปล่า บางทีอาจเกิดจากเรื่องของอาหาร ถูกทอดทิ้งไว้นานเกินไป หรือหัวใจของฉันแก่ชราและอ่อนล้า

9. ดูแลฉันเมื่อยามแก่เฒ่าด้วย เพราะวันนึงเธอก็ต้องป็นเช่นกัน
 

10. อยู่กับฉันเมื่อช่วงสุดท้ายของชีวิตมาถึง ขออย่าได้พูดเป็นอันขาดว่า "ฉันทนดูไม่ได้ ไม่อยากให้เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาเลย" เรื่องราวทั้งหมดจะง่ายขึ้น หากเธออยู่กับฉันด้วย

สุดท้ายโปรดระลึกไว้เสมอว่า...ฉันรักเธอ  


ขอขอบคุณบทความhttp://www.dek-d.com/board/view.php?id=1865757                  
เรียบเลียงโดย doglove lovedog   

อาหารต้องห้ามของสุนัข ห้ามกินเด็ดขาด


อาหารต้องห้ามของสุนัข ห้ามกินเด็ดขาด

            อาหารต้องห้ามของสุนัข  ห้าม!!..กินเด็ดขาด








                                                                                                                                                                                         ผัก ผลไม้ อาหาร ที่เป็นพิษกับสุนัข 

          1. ก้าน ใบ เมล็ด ของ แอปเปิ้ล อัลมอนด์ แอปริคอต พีช เชอรรี่ป่า ลูกพลัม ลูกแพร์ ลูกพรุน และผลไม้ที่คล้ายๆ กัน จะทำให้เกิดอาการท้องร่วง อาเจียน ปวดท้อง โดยเมล็ดของผลไม้เหล่านี้ส่วนใหญ่จะมีไซยาไนด์ ซึ่งเป็นพิษทั้งกับคนและน้องหมา

          2. อโวคาโด ทั้งผล เมล็ด ลำต้น เป็นพิษกับสุนัขทั้งหมด เป็นสาเหตุให้หายใจลำบาก น้ำท่วมปอด เจ็บหน้าอก ปวดท้อง

          3. บลอคโคลี่ ทำให้เกิดแก๊สในท้องจำนวนมาก

          4. เชอร์รี่ ทำให้หายใจเร็ว ช็อค ปากบวมเห่อ อัตราการเต้นของหัวใจเร็วขึ้น

          5. ช็อคโกแล็ต ยิ่งอบยิ่งอันตรายมาก ที่น้อหมาทานช็อคโกแล็ตไม่ได้เพราะสาร theobromine ในเม็ดโคคาเป็นอันตรายต่อน้องหมา ถ้าได้รับในปริมาณมากจะทำให้เกิดลมชักตายได้ โดยสาร theobromine จะมีในช็อคโกแล็ตชนิดต่างๆ จากปริมาณที่น้อยไปหามากดังนี้ White-Hot-Milk-Semi-Baked ไวท์ช็อค ทำมาจาก นม น้ำตาล และ cocoa butter ซึ่ง cocoa butter ก็คือ ไขมันที่สกัดจาก chocolate liquor ซึ่ง chocolate liquor จะได้มาจากเมล็ดโคคา ก็มี สาร theobromine เช่นกัน แต่มีน้อยกว่าช็อคโกแล็ตดำค่ะ ไวท์ช็อค 1 ออนซ์ มี สาร theobromine 1 mg

          ปริมาณสาร theobromine เท่าใดจึงเป็นอันตรายต่อน้องหมา เป็นดังนี้

          - ไวท์ช็อค White chocolate: ถ้าน้องหมาน้ำหนัก 20 ปอนด์ ต้องทานไวท์ช็อค 250 ปอนด์จึงเป็นพิษ

          - ช็อคโกแล็ตนม Milk chocolate: ถ้าน้องหมาน้ำหนัก 20 ปอนด์ กิน ช็อคโกแล็ตนม 1 ปอนด์ก็จะเป็นพิษ

          - Sweet cocoa: ถ้าน้องหมาน้ำหนัก 20 ปอนด์ กิน Sweet cocoa 3 ปอนด์ จะเป็นพิษ

          - ช็อคโกแล็ตอบ Baking chocolate: เพียง 2 ปอนด์ จะเป็นพิษกับน้องหมาน้ำหนัก 20 ปอนด์

          6. ชา กาแฟ มีคาเฟอีน และน้ำตาล อาจจะทำให้เกิดอาการคล้ายๆ กับการกินช็อคโกแล็ต

          7. กระดูกที่ทำให้สุกแล้วไม่ควรให้สุนัขกิน เพราะขั้นตอนที่ย่อยอาจจะเป็นอันตรายกับอวัยวะข้างใน แต่กระดูกที่ดิบกินได้ปลอดภัยกว่า

          8. เห็ด จะทำให้อาหารไม่ย่อย มีผลในการทำลายต่อตับไต เกิดอาการ ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน

          9. ลูกจันทน์ จะเกิดอาการใจสั่น หรืออาจเกิดอาการลมชักอย่างปัจจุบันทันด่วน และตาย

          10. ยาสูบ ทำให้น้ำลายฟูมปาก คลื่นไส้ อาเจียน ภาวะหัวใจเต้นเร็วผิดปกติ
          11. หัวหอม เกิดแก๊ส ทำให้ (ร่างกาย) ไม่ปกติ อ่อนกำลัง ทำลายเม็ดเลือดแดง

          12. องุ่น ลูกเกด ลูกพรุน ทำให้ไตล้มเหลว ถึงตายได้แม้องุ่นเพียงนิดเดียว

          13. เกลือ ถ้ากินมากเพราะจะมีผลต่อไต

          14. ไข่ดิบ อาจมีเชื้อแซลโมเนลล่าทำให้สุนัขเกิดโรคทางเดิน อาหารได้ แต่ไช่สุกทานได้

          15. ถั่วแมคคาดาเมีย ถั่วแมคคาดาเมีย จะทำให้กล้ามเนื้อสุนัขอ่อนแรง เกิดความหดหู่ อาเจียน การไม่ประสานกัน ใจสั่น เป็นไข้ ปวดเกร็งท้อง อาการเพลียของกล้ามเนื้อ โดยจะส่งผลกับขาหลังของสุนัขมากกว่าขาหน้า บางทีขาหลังอาจเป็นหนักถึงอัมพาต อาการเหล่านี้จะหายไปหลังจากกินถั่วนี้ไปแล้ว 72 ชั่วโมง
ขอขอบคุณข้อมูลจาก(โรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อ และข้อมูลอ้างอิง                                   จากhttp://pet.kapook.com/view2430.html                             

                                     เรียบเรียงบทความโดย  doglove lovedog

พยาธิหนอนหัวใจคืออะไร??เกิดมาจากอะไร??


พยาธิหนอนหัวใจคืออะไร??เกิดมาจากอะไร??




                     สวัสดีค่ะ วันนี้จะมาเล่าเรื่องของความน่ากลัว ของพยาธฺิิิหนอนหัวใจนสุนัขให้ฟังกันค่ะ
คนที่รักสุนัขต้องอ่าน และทำความเข้าใจกันและเรียนรู้หาวิธีป้องกันนะค่ะ ไม่ยากค่ะถ้าเข้าใจและดูแลเป็นประจำ
           
  พยาธิหนอนหัวใจ  เป็นพยาธิตัวกลมชนิดหนึ่งที่ไม่ได้อยู่ที่ทางเดินอาหารเหมือนพยาธิทั่วไป แต่มีตัวเต็มวัยอาศัยอยู่ในหัวใจ มีตัวอ่อนอยู่ในกระแสเลือด และมียุงเป็นพาหะการเกิดโรค
             
 ขอขอบคุณภาพประกอบ  http://www.udclick.com
                  พยาธิตัวนี้ไม่ได้ติดโดยการกินไข่พยาธิเหมือนพยาธิในลำไส้ตัวอื่น แต่มันเป็นพยาธิที่อยู่ใน หัวใจ ดังนั้น วงจรชีวิตของมันจึงอยู่ที่ระบบไหลเวียนเลือดแทนที่จะเป็นระบบทางเดินอาหารเหมือนพยาธิทั่วไป
                                                                                                                                                      ร้ายกว่าที่คิด พยาธิหนอนหัวใจ 
               


ขอขอบคุณภาพประกอ http://www.noyshop.com/ และ http://www.bodyguardfila.com

 เมื่อสุนัขมีพยาธิหนอนหัวใจ ตัวพยาธิจะทำให้เกิดการอักเสบของผนังหลอดเลือดแดงในปอดทำให้หลอดเลือดอุดตัน และรบกวนการไหลเวียนของเลือดที่ไปเลี้ยงอวัยวะสำคัญต่าง ๆ ของร่างกาย ทำให้หัวใจซึ่งทำหน้าที่สูบฉีดเลือดต้องทำงานหนักขึ้น กล้ามเนื้อหัวใจอ่อนแอลงเป็นสาเหตุให้เกิดภาวะหัวใจล้มเหลวแบบเรื้อรัง เมื่อเป็นนาน ๆ เข้า จะมีของเหลวคุ่งอยู่ตามส่วนต่าง ๆของร่างกาย เช่น ช่องท้อง ปอด และ ปลายขา ทำให้เกิดอาการท้องมาน ปอดบวม และ ขาบวมตามมา ในกรณีที่อาการรุนแรงอาจเป็นสาเหตุทำให้สุนัขตายได้
               
 เป็นยังไงบ้างค่ะพอจะเข้าใจข้อมูลเบืองต้นแล้วนะค่ะ ว่าพยาธหนอนหัวใจเกิดจากอะไรมาจากใหน   คราวหน้าเรามาดูวิธีป้องกัน... และความร้รายระเอียด ดีๆเพิมเติมค่ะ

ข้อมูลการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ ยากำจัดเห็บหมัด


ข้อมูลการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ ยากำจัดเห็บหมัด



                                                                 
                                                                                         

สวัสดีค่ะ ..วันนี้จะมาเล่าเรื่องวิธีการกำจัดเห็บหมัด  หลายๆวิธีด้วยกัน  เราเริ่มมาดูกันเลยมีวิธีอะไรบ้าง
เราจะขอแบ่งวิธีการออกเป็น 2 ส่วน คือการป้องกัน และการกำจัด ถ้าจะให้ได้ผลดีควรทำไปพร้อมๆกัน
ผลิตภันฑ์การป้องกัน และการกำจัดเห็บหมัดมีมากมายหลากหลายมาก เรามาดูกั  

                        1.แชมพูสูตรป้องกันและกำจัดเห็บหมัด

                        2.แป้งโรยตัวสูตรป้องกันและกำจัดเห็บหมัด

                        3.สเปรย์ ป้องกันและกำจัดเห็บหมัด

                        4.ปลอกคอป้องกันและกำจัดเห็บหมัด
      
                        5.น้ำยาป้องกันและกำจัดเห็บหมัด  (ผสมน้ำราดพื้น) เช่น BRITYCON 6 % ตัวยา                       DEITAMETHRIN และตัวยา AMITTRAZ
                   
                        6.ยาหยด (หลังสุนัข)   Detick/FRONTLINE/DETICK-DEWORM/

                        7.ยากิน   (แบบเม็ด) อยู่ในกลุม ตัวยา Ivormactin*en-dex 4000*Prce-
tic*Biomic4000*Heartgard

                   8.ยาฉีด   (ใต้ผิวหนัง)   ป้องกันและกำจัดเห็บหมัด เช่นตัวยา Ivormac/*DETICK-DEWORM/

                   




                  วันนี้ ก็ขอกล่าวไว้เท่านี้ก่อนนะค่ะ  บทความหน้าจะมาอธิบายวิธีใช้ และอันตรายผลใกล้เคียงของการใช้ตัวยา
                       


                                                                          ขอขอบคุณภาพประกอบ  http://www.learners.in.th/
                                                                                                                    www.yespetshop.com 
                                                                                                                    www.kadnad.com 
                                                                                                                    www.weloveshopping.com 
                                                                                                                   puppypetshop.tarad.com -
                                                                                                                    www.taradplaza.com 
                                                                                                                    http://dogclub.in.th/
                                                                          เรียบเรียงโโดย  Doglove lovedog

โรคของสุนัข ที่เกิดจากเห็บหมัด


โรคของสุนัข ที่เกิดจากเห็บหมัด

ขอบคุณภาพประกอบwww.bloggang.com -

มาดูโรคต่างๆที่จะเกิดขึ้นกับน้องหมาที่รักของเรา เหตุที่มาก็เกิดจาก   เห็บหมัด   นี้แหละค่ะ
  
ขอบคุณภาพประกอบ www.trueplookpanya.com -


 เห็บ-หมัด นั้นจัดเป็นพยาธิภายนอกของสัตว์เลี้ยงในบ้านเรามานานแสนนาน โดยที่เราเองก็รู้สึกคุ้นเคยในการที่สุนัขของ

เรามีเห็บ หมัดมาอาศัย ซึ่งนั่นถือเป็นความคิดที่ไม่ถูกต้องเอาซะเลย เพราะเห็บและหมัดนอกจากจะมาเบียดเบียนสุนัขของเรา ด้วยการดูดเลือดสัตว์เลี้ยงของเราเป็นอาหารแล้ว ยังนำโรคร้ายมาสู่สุนัขของเราอีกด้วย ตั้งแต่ผื่นคันยันเสียชีวิตเลยทีเดียว ผลร้ายของเห็บหมัดที่ทำกับน้องหมาสัตว์เลี้ยงของเรานั้น มีหลายประการดังนี้
     
1. โรคภูมิแพ้น้ำลายหมัด (Flea Allergie Dermatitis)

     โรคนี้เป็นโรคผิวหนังอักเสบที่เนื่อมาจากแพ้น้ำลายของหมัด ทำให้สุนัขมีอาการคันอย่างรุนแรงและมีผิวหนังแดงและอักเสบ พบได้บริเวณแนวสันหลังหรือบริเวณที่มีหมัดอาศัยอยู่ ซึ่งหากไม่จัดการปราบหมัดให้หมดสิ้น สุนัขของเราก็จะทนทุกข์ทรมานจากผิวหนังอักเสบ เพราะแพ้น้ำลายหมัดตลอดไป
   
  2. โรคโลหิจาง

     เนื่องจากทั้งเห็บ-หมัดเป็นแมลงดูดเลือด ที่กินเลือดเป็นอาหาร ดังนั้น หากสุนัขของเรามีเห็บมากเกาะกินอาศัยอยู่ตามตัวจำนวนมาก ๆ สุนัขก็จะถูกเห็บดูดกินเลือดจนเป็นตัวเต่งเหมือนลูกหยี ก็จะทำให้สุนัขเราต้องสูญเสียเลือดไปเป็นอาหารของเห็บและหมัด ซึ่งก็จะทำให้เกิดโรคโลหิตจางตามมาในที่สุด
  
   3. โรคพยาธิเม็ดเลือด อี.เคนิส

     โรคพยาธิเม็ดเลือด อี.เคนิส นี้ เป็นโรคติดต่อที่เกิดจากเห็บกัด โดยขณะที่เห็บดูดเลือดสุนัขเรา เห็บก็จะปล่อยพยาธิเม็ดเลือดที่ชื่อ อี.เคนิส ให้กับสุนัขเคราะห์ร้ายของเรา ซึ่งเจ้า อี.เคนิส นี้จะกัดกินเม็ดเลือดขาว เม็ดเลือดแดง รวมไปถึงเกล็ดเลือดด้วย ทำให้สุนัขป่วยด้วยอาการอ่อนพลีย ไม่มีเรี่ยวแรง น้ำหนักลด โลหิตจาง ต่อมน้ำเหลืองและม้ามโต                                                                                                   
     เจ้า อี.เคนิส นี้เป็นพยาธิ นี้เป็นโรคพยาธิเม็ดเลือดที่มีพบได้สูงสุดในขณะนี้ และแพร่ระบาดไปในทั่วทุกภูมิภาคของบ้านเรา แบบว่าที่ไหนมีเห็บ ที่นั่นมี อี.เคนิส ทีเดียว

     4. โรคพยาธิเม็ดเลือด บาบีเซีย

     โรคพยาธืเม็ดเลือดบาบีเซีย (Babesias) นี้ก็เกิดจากถูกเห็บกัดเช่นเดียวกับ อี.เคนิส เหมือนกัน แต่เจ้าบาบีเซียนี้จะมุ่งทำลายล้างเม็ดเลือดแดงเพียงอย่างเดียว ซึ่งปล่อยทิ้งไว้สุนัขของเราก็จะตายด้วยโลหิตจางอย่างรุนแรง

     5. โรคพยาธิเม็ดเลือด เฮปาโตซุน
     โรคพยาธิเม็ดเลือดเฮปาโตซุนนี้ เกิดจากการที่สุนัขกินเห็บที่มีพยาธิเข้าไป เจ้าพยาธิเฮปาโซตุนนี้โดยปกติแล้วไม่ค่อยทำให้สุนัขป่วยเท่าไหร่ ถ้าสุนัขแข็งแรงดี แต่ถ้าหากสุนัขมีสุขภาพทรุดโทรมหรือป่วยเรื้อรังด้วยโรคใด ๆ ก็ตาม เจ้าพยาธิเม็ดเลือดเฮปาโตซุนนี้จะออกมาฉกฉวยโอกาสซ้ำเติมสุนัขโชคร้ายให้เกิดอาการป่วยเพิ่มขึ้นด้วย อาทิ มีไข้ น้ำหนักลด เบื่ออาหาร ขาหลังอ่อนแรง จนกระทั่งขากะเผลกเนื่องจากกล้ามเนื้ออักเสบได้
   
  6. โรคพยาธิตัวตืด เม็ดแตงกวา

     พยาธิเม็ดแตงกวา จัดเป็นพยาธิลำไส้ชนิดหนึ่ง อยู่ในจำพวกพยาธิตัวแบน ซึ่งตัวแก่อาศัยอยู่ในลำไส้ของสุนัขแล้วปล่อยปล้องแก่หลุดปะปนมากับอุจจาระ โรคพยาธิเม็ดแตงกวานี้ติดต่อผ่านหมัดที่กินไข่พยาธิเข้าไป แล้วสุนัขเกิดมากินหมัดที่มีไข่พยาธินั้นเข้าไป ก็ทำให้ติดพยาธิเม็ดแตงกวาชนิดนี้ได้ นอกจากนั้นแล้ว เห็บ-หมัดก็ยังทำความรำคาญให้กับสุนัขของเราอย่างมาก เช่น ไม่สบายเนื้อสบายตัว หรือบางทีเห็บเข้าไปหลบอยู่ในรูหู ก็ทำให้สุนัขคันหูอย่างมาก

   

  ดังนั้นเพื่อสุขภาพที่ดีของสุนัขของเรา  เราควรปกป้องดูแลเห็บหมัดให้กับน้องหมาของเรา ทั้งที่ตัว    สุนัขเอง และบริเวรบ้านของเรา 
                                                                 
                                         ขอบคุณข้อมูลอ้้างอิง  http://www.petpowergrand.com/
                                                                       
                                         เรียบเรียงโดย doglove lovedog 

เห็บหมัด ภัยร้ายฉกาจ ของสุนัข


เห็บหมัดเกิดจากอะไร?? มาจากไหน?? กันนะ??




"เห็บ" เห็บสุนัข (Brown dog tick) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Rhipicephalus sanguineus ซึ่งจะมี 

ลักษณะแตกต่างจากแมลงโดยทั่วไป กล่าวคือ เห็บเต็มวัยมี 8 ขา เช่นเดียวกับแมงมุม แต่ในขณะที่

แมงมุมมีส่วนหัวเห็นได้ชัด เห็บจะไม่มีหัวมีแต่ส่วนที่เป็นปากยื่นออกมาให้ เห็นเท่านั้น เห็บจะใช้ส่วนปาก

ของมันแทงเข้าใต้ผิวหนังและเกาะติดแน่นบนตัวสุนัข แล้วดูดกินเลือดเป็นอาหาร เห็บหมัดเป็นตัวปัญหา 

เป็นปัญหาคู่กับหมามาตั้งแต่เริ่มมีหมาเกิดขึ้นในโลกนี้ก็คงว่าได้ และเชื่อว่าคงอยู่เป็นคู่กัดกันไปตลอดจนกว่าโลกจะแตกดับจึงจะหมดได้   

                  เห็บหมัดเป็นตัวปัญหา ที่สร้างความรำคาญให้กับสุนัขและผู้เลี้ยง และ เป็นสาเหตุอันดับต้นๆที่..ทำให้สุนัขเป็นโรคต่างๆ เช่น โรคโลหิตจาง โรคผิวหนัง โรคตับ โรคไต โรคพยาธฺิิิฺในเม็ดเลือด  สร้างความสูญเสีย..ทำให้สุนัขต้องเสียชีวิตก่อนวัยอันควร (ถ้าต้องรักษาโรคต่างๆมากมายเหล่านี้ก็ต้องใช้เงินมากอยู่)  ถ้าอย่างนั้นแล้วเราควรจะทำการป้องอย่างสมำเสมอจะดีกว่า  นี้คือคำกล่าวสรุปเปิดตั้งแต่ต้นเลย
                 
                  การควบคุมปริมาณเห็บหมัด ให้น้อยที่สุดจึงเป็นทางออกที่ดีและจำเป็นสำหรับผู้ที่เลี้งสุนัข

มาดูภาพและข้อมูลประกอบ และเรื่่องของเห้บหมัดกันต่อ(ใครที่ขวัญอ่อนตกใจง่ายแนะนำดูให้รู้เถอะค่ะ)

ขอบคุณภาพประกอบ http://www.petpowergrand.com/

ขอบคุณภาพประกอบ http://ddpromote.com/


ขอบคุณภาพประกอบ   http://www.mylovegolden.net/


เห็นภาพประกอบแล้วถึงกับขนหัวลุกขนตั้งกันเลยใช้มั้ค่ะ คงไม่มีใครอยากให้สุนัขของตัวเองต้องมีเห็บหมัดเยอะขนาดนี้หลอกใช้มั้ยค่ะ
                    

                        วันนี้ก็เลยจะมาขอเล่า เห็บหมัดเกิดจากอะไร??  มาจากไหน?? มาดูกันว่า สุนัขที่คุณเลี้ยง
และบริเวณบ้านของคุณ เป็นแหล่งเพระพันธ ของเห็บหมัดอย่างดีหรือปาว??
                    

                         เริมจากเห็บหมัดมาจากไหน   เห็บ-หมัด นั้นจัดเป็นพยาธิภายนอกเป็นพาราไซต์ที่ดูเหมือนจะเป็นปัญหามากของสัตว์เลี้ยงในบ้านเรามานานแสนนาน โดยที่เราเองก็รู้สึกคุ้นเคยในการที่สุนัขของเรามีเห็บ หมัดมาอาศัย ซึ่งนั่นถือเป็นความคิดที่ไม่ถูกต้องเอาซะเลย เพราะเห็บและหมัดนอกจากจะมาเบียดเบียนสุนัขของเรา ด้วยการดูดเลือดสัตว์เลี้ยงของเราเป็นอาหารแล้ว ยังนำโรคร้ายมาสู่สุนัขของเราอีกด้วย ตั้งแต่ผื่นคันยันเสียชีวิตเลยทีเดียว
                        เห็บหมัดยังได้ฉายานามอีกว่า เป็นสัตย์ อัมตะ (เหมือนแด็คูราผีดิบดูดเลือด)อีกด้วย
เขาหมายถึงกำจัดยาก ตายยาก ไม่มีวันหมด...

      ลักษะณะของเห็บ แบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือเห็บตัวผู้และเห็บตัวเมียค่ะ มาดูภาพประกอบ

ขอบคุณภาพประกอบ  eeddy.exteen.com
       นีคือ รูป  ของเห็บตัวผู้(เพศชายค่ะ) บางคนเคยเห็นมัน แต่ไม่รู้ว่ามันคือตัวผู้ นี้แหละค่ะ เห็บตัวผู้  
ส่วนตัวผู้มีสีน้ำตาลแดงมองเห็นขาชัดเจน 8 ขา (เหมือนแมงมุมเลย 555) สีแดงอมน้ำตาล แต่เมือกินเลือดจนอิมตัวป่อง จะเป็นสีเทา หรือน้ำตาลโอลีฟ                                                                                                                                                                   


 
ขอบคุณภาพประกอบ www.xn--12cm7c7ag5cm3ap9t.com
นี้คือรูป เห็บตัวเมียค่ะ (มีเห็บตัวผู้ขึ้นไปผสมพันธ์กันด้วยค่ะ) 


          ข้อมูล วงจรชีวิตของเห็บหมัด (ที่ผู้เลี้ยงต้องทำความให้เข้าใจก่อน) การดูแลป้องกันจะได้เข้าใจถึงที่มาที่ไป-และการที่เลือกปฎิบัติดูแล และ การเลือกใช้สินค้ากำจัดเห็บหมัดต่างๆ จึงจะได้ผล แบบ สมเหตุสมผลค่ะ
ขอบคุณภาพประกอบ www.bloggang.com

 เห็บจะใช้ส่วนปากของมันแทงเข้าใต้ผิวหนังและเกาะติดแน่นบนตัวสุนัข แล้วดูดกินเลือดเป็นอาหาร

สำหรับเห็บที่ดูดเลือดจนตัวเป่ง มองดูคล้าย เมล็ดถั่ว นั่นคือ เห็บตัวเมีย ซึ่งได้รับการผสมพันธุ์จากเห็บ

ตัวผู้แล้ว เมื่อมันจะวางไข่ มันจะถอนส่วนปาก ออกจากผิวหนัง ล่นจากตัวสุนัขแล้วไปหา ที่วางไข่ ใน

บริเวณที่เป็นซอกหรือมุมค่อนข้าง มืดและชื้น เห็บตัวเมียสามารถไต่ขึ้นที่สูงในแนวตั้งฉากกับพื้นได้ ดัง

นั้น บางครั้งเราจะพบว่า มันไป วางไข่ตามรอยแตกบนกำแพงหรือฝาฝนังบ้านได้ด้วย ตัวเมียจะวางไข่

เพียงครั้งเดียวซึ่งจะกินเวลาในการวางไข่ประมาณ 10 วัน ไข่ทั้งหมด ประมาณ 2,000-6,000 ฟอง

จากการวางไข่เสร็จแล้ว ตัวเมียจะเหี่ยวแห้งตายไปในที่สุด  ไข่ใช้เวลาประมาณ 3 สัปดาห์ฟักออกมาเป็น          

ตัวอ่อน ซึ่งจะมีเพียง 6 ขาเท่านั้น เคลื่อนที่ได้ว่องไวมาก ตัวอ่อนนี้จะขึ้นไปกินเลือดบนตัวสุนัขอย่าง

น้อย 2 -3 วัน เมื่ออิ่มแล้วจะหล่นจากตัวสุนัข ไปหาที่ลอกคราบ กลายเป็น ตัวกลางวัย ซึ่งมีขนาดใหญ่

กว่าตัวอ่อนอย่างเห็นได้ชัดและมี 8 ขา ตัวกลางวัยนี้จะกินเลือดบนตัวสุนัขอีก และจะหล่นลงสู่พื้น เมื่อ

กินอิ่มแล้วเช่นกัน จากนั้นจะทำการลอกคราบกลายเป็นตัวเต็มวัย ซึ่งจะต้องขึ้นบนตัวสุนัขอีกเพื่อดูด

เลือดและผสมพันธุ์ต่อไป วงจรชีวิตของเห็บชนิดนี้จะ สมบูรณ์ได้ในเวลา ประมาณ 45-50 วันแล้วแต่



อุณหภูมิและความชื้นในอากาศ จะเห็นได้ว่าเห็บแพร่พันธุ์ได้รวดเร็วมาก ถ้าเจ้าของสุนัข ไม่เอาใจใส่ 

สุนัขเลย ปล่อยให้มีเห็บทั้งบนตัวสุนัขและภายในบ้าน แล้วภายในเวลาดังกล่าว จะพบเห็บในปริมาณมาก 

จนน่าตกใจและอาจสายเกินกว่าที่จะช่วย สุนัขให้พ้นจากความตายจากเห็บ นอกจากจะดูดเลือดสุนัขซึ่ง

จะทำให้สุนัขเสียเลือดทำให้ผ่ายผอม และอ่อนเพลียแล้ว เห็บ ยังสามารถ นำโรคร้ายแรง อื่นๆ มาให้

สุนัขของคุณอีกด้วย ดังนั้นจึงควรกำจัดเห็บให้หมดไป หรือทำให้มีปริมาณน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ ใน

การกำจัดเห็บท่านควรกำจัด ทั้งที่อยู่บนตัว และนอกตัวสุนัขด้วย กล่าวคือ เห็บที่อยู่ในบริเวณที่นอนของ 
สุนัขตามกำแพงฝาฝนัง และตามซอก ตามมุมต่างๆ ก็ต้องกำจัดด้วย 
ก็ขอจบแต่เพียงเท่านี้ก่อนนะค่ะ คราวหน้าจะมาโพสใหม่ค่ะ

ขอบคุณข้อมูลอ้างอิง บางส่วนจาก http://www.phuketdog.com/

เรียบรียงโดย lovedog doglove

วันศุกร์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2556

อายุของสุนัขกับคนเรา เขานับกันอย่างไรกัน


ขอขอบคุณภาพประกอบ  http://buddy-puppy.blogspot.com/




อายุสุนัขกับเรา 

          สุนัข และ สัตว์เลี้ยง อื่นๆ เจริญเติบโตเร็วกว่าคนมาก เห็นได้จากเมื่อ สุนัข คลอดออกมาไม่นานก็สามารถเดินได้แล้ว ในขณะที่คนต้องใช้เวลานานมากกว่าจึงจะเดินได้ ถ้าอย่างนั้นใน 1 ปีแรกของสุนัขเท่ากับกี่ปีของคน และเท่ากันทุกปีหรือไม่ คำตอบคือ สุนัขเจริญเติบโตแตกต่างกันในแต่ละปี 

                                                        

                                                      ขอขอบคุณภาพประกอบhttp://www.tlcthai.com/horo/horo-amulet/7892.html                                      

                                                                             

          ในปีแรกร่างกาย สุนัข จะเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วเท่ากับ 15 ปีของคนเลยทีเดียว โชว์ทรวดทรงอ้อนแอ้น เข้าสู่วัยรุ่น กำลังน่ารักน่าชัง เมื่อเริ่มเข้าปีที่ 2 เท่ากับ 24 ปี อยู่ในช่วงวัยเบญจเพส วัยคะนองก็ว่าได้ 

         
พอ สุนัข เข้าปีที่ 3,4 อายุจะเพิ่มอีกครั้งละ 4 ปี ช่วงนี้จะมากด้วยประสบการณ์ เมื่อเริ่มปีที่ 5 ขึ้นไป บวกเพิ่มอีก 5 ปีทุกครั้ง จะเห็นได้ว่าช่วงอายุคนกับ สุนัข จะห่างกันมาก ใช้เวลาเลี้ยงแค่ 5-6 ปี สุนัข ของเราก็จะเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวแล้ว ทำอะไรก็คล่องแคล่ว ว่องไว แต่เมื่อเจริญเติบโตเร็วมากเท่าไหร่ ความชราจะมาเยือนอย่างรวดเร็วเช่นกัน 


     ต่อมา เรามาดูแผนภาพเทียบอายุระหว่างคนกับสุนัขกันค่ะ แบ่งได้เป็นสุนัข 3 ขนาด ดังนี้ (สังเกตได้จากสี)

     สุนัขขนาดเล็กและกลาง (Small,Medium = S/M)
 แทนสัญลักษณ์สีส้ม
     
สุนัขขนาดใหญ่  (Large = L) แทนสัญลักษณ์สีน้ำตาลอ่อ
   
  สุนัขขนาดใหญ่มาก (Extra Large = XL) แทนสัญลักษณ์สีน้ำตาลเข้ม




ขอขอบคุณภาพและบทความบ่างส่วนจาก http://www.dogilike.com

     
แผนภาพนี้สามารถอธิบายให้เข้าใจได้ง่ายๆ ก็คือ ... 
    
    
 สมมุติว่า เพื่อนๆ เลี้ยงสุนัขขนาดใหญ่มาก (size XL) อายุ 12 ปี

     -  อย่างแรกที่เราต้องดู คือปี  12 ปี (ตัวอักษรสีเขียว)
     -  ลำดับต่อมาดูที่สี ส้ม, สีน้ำตาลอ่อน , สีน้ำตาลเข้ม (เส้นวงนอก) แต่เนื่องจากเรายกตัวอย่างเป็นสุนัขไซค์ XL คือแทนสัญลักษณ์สีน้ำตาลเข้ม จะเท่ากับอายุคน 94 ปีค่ะ โอ้โห! แก่มากๆ เลยค่ะ



     แผนภาพนี้สามารถอธิบายให้เข้าใจได้ง่ายๆ ก็คือ ...
    

    
 สมมุติว่า เพื่อนๆ เลี้ยงสุนัขขนาดใหญ่มาก (size XL) อายุ 12 ปี

     -  อย่างแรกที่เราต้องดู คือปี  12 ปี (ตัวอักษรสีเขียว)
     -  ลำดับต่อมาดูที่สี ส้ม, สีน้ำตาลอ่อน , สีน้ำตาลเข้ม (เส้นวงนอก) แต่เนื่องจากเรายกตัวอย่างเป็นสุนัขไซค์ XL คือแทนสัญลักษณ์สีน้ำตาลเข้ม จะเท่ากับอายุคน 94 ปีค่ะ โอ้โห! แก่มากๆ เลยค่ะ



     จากแผนภาพนี้
 เพื่อนๆ เห็นความแตกต่างของสุนัข 3 ขนาด นี้กันหรือเปล่าคะ ลองสังเกตในช่วง 2 ปีแรกค่ะ สุนัขทั้ง 3 ขนาด ยังคงมีอายุเฉลี่ยเท่าๆ กัน แต่เมื่อเข้าสู่ปีที่ 3 อายุของสุนัขทั้ง 3 ขนาด เริ่มมีความแตกต่างกันจนเห็นได้ชัดสรุป คือ สุนัขขนาดใหญ่มาก จะแก่เร็วว่าสุนัขพันธุ์เล็กหลายปีเลยค่ะ


             การเปลียบเทียบอายุไขของสุนัขกับมนุษย์  ใช้การนับเทียบอายุค่ะ

สุนัขอายุ 3 เดือน เทียบได้กับเด็กอายุ 10 ขวบ
สุนัขอายุ 1 ปี เทียบได้กับวัยรุ่นอายุ 15 ปี
สุนัขอายุ 2 ปี เทียบได้กับหนุ่ม-สาวอายุ 24 ปี
สุนัขอายุ 3 ปี เทียบได้กับคนอายุ 28 ปี
สุนัขอายุ 4 ปี เทียบได้กับคนอายุ 32 ปี
สุนัขอายุ 5 ปี เทียบได้กับคนอายุ 36 ปี
สุนัขอายุ 6 ปี เทียบได้กับคนอายุ 40 ปี
สุนัขอายุ 7 ปี เทียบได้กับคนอายุ 44 ปี
สุนัขอายุ 8 ปี เทียบได้กับคนอายุ 48 ปี
สุนัขอายุ 9 ปี เทียบได้กับคนอายุ 52 ปี

สุนัขอายุ 10 ปี เทียบได้กับคนอายุ 56 ปี
สุนัขอายุ 12 ปี เทียบได้กับคนอายุ 64 ปี
สุนัขอายุ 14 ปี เทียบได้กับคนอายุ 72 ปี
สุนัขอายุ 16 ปี เทียบได้กับคนอายุ 81 ปี
สุนัขอายุ 18 ปี เทียบได้กับคนอายุ 91 ปี
สุนัขอายุ 20 ปี เทียบได้กับคนอายุ 101 ปี 

ที่มา หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์


ขอขอบคุณ  http://my.dek-d.com/AngelTVXQ/blog/?blog_id=10049527



             

                        ขอขอบคุณภาพและบทความบ่างส่วนจาก http://www.dogilike.com



          
ดังนั้น สุนัข ที่อายุ 10 ปีขึ้นไป เริ่มทำอะไรเชื่องช้า เนื่องจากร่างกายจะอ่อนแอลง ทำให้ติดเชื้อโรคง่ายตามไปด้วย เพราะ สุนัข เริ่มเข้าสู่วัยชรา เราจึงต้องเอาใจใส่ในการเลี้ยงดูมากขึ้น เจ้า สุนัข ตัวโปรดของคุณจะได้อยู่ด้วยกันไปนานๆ 

              เรียบเรียงโดย doglove lovedog

                 ขอขอบคุณบทความ  http://variety.teenee.com/foodforbrain/34480.html